วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Diary Field Trip

DIARY FIELD TRIP
ความรู้สึกก่อนไปทริป : เมื่อทราบว่าจะได้ไปทริปที่จะต้องไปภาคอีสาน และเหนือ รู้สึกตื่นเต้นมาก ได้โทรไปบอกที่บ้าน ว่าจะได้ไปค้างที่ลำปางด้วย จึงให้พี่สาวเตรียมของฝากให้เพื่อนๆ แล้วก็ทำกับข้าวเหนือ มาให้เพื่อนๆชิมกัน อาจารย์นัดคุยเรื่องกฏระเบียบ ก็คุยเรื่อง สิ่งที่ต้องเตรียมไป นัดเวลารถออก แล้วพูดถึงเหตุการณ์อันน่าสลด ที่มีรุ่นพี่ ป.โท โดนยิงขณะไปทริป จึงทำให้ทริปครั้งนี้ “ปลอดแอลกอฮอลล์“




วันแรกของการเดินทาง (เสาร์ ที่ 4 กรกฎาคม)
เป็นเช้าที่ตื่นเช้ามาก เพราะตื่นเต้นกับทริปนี้ ทำให้นอนไม่หลับ กลัวตื่นไม่ทันรถ กลัวลืมของ กลัวนุ้น กลัวนี่ จึงทำให้เตรียมตัวที่ไปจะทริปแต่เช้า และไปขึ้นรถที่คณะ พอไปถึง เพื่อนๆยังมากันไม่ครบเลย อาจารย์ก็บอกให้ไปหาอะไรกินกันก่อน เหล่านักเรียนก็ทะยอยกันไปหาข้าวกิน หาของกินรองท้อง บ้างก็ไปเบิกเงินเตรียมผลาญเต็มที่ ไม่นานนัก ก็พากันกลับไปที่รถแล้วเมื่อเหล่านักศึกษาพร้อมกันแล้ว รถก็ได้ทำการออกเดินทาง ขณะที่รถออก เสียงนักศึกษาก็คุยกันเจียวจาว ตื่นเต้นกันดี ร้องเพลงบ้าง เล่นไพ่กันบ้าง ไม่นานนัก บนรถก็กลับสู่ความสงบ เพราะทุกคนหลับกัน สงสัยอาจจะเพราะคงจะตื่นเช้ากัน ไม่นานนัก รถก็แวะพักให้ทานเข้า ที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ไม่นานนักรถก็ออกเดินทางต่อ แล้วนักศึกษาก็หลับกันต่อ ไม่นานนักก็ถึงสถานที่แรกที่ได้ไปก็คือ บ้านของอาจารย์ทรงชัยที่จังหวัดสระบุรี สิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนงัวเงียกันมาก แต่พอทุกคนย่างก้าวเข้าไปในบ้านของอาจารย์ทรงชัยแล้ว ทุกคนกลับตื่นตาตื่นใจมาก กับเรือนไทยโบราณ ที่มีศาลาคล่อมคลองเล็กหน้าบ้าน เป็น APPROCH ที่มีความร่มรื่น










ลานดินบ้านอาจารย์ทรงชัย



นำสายตาไปสู่ลานดินกว้างพอประมาณ แล้วก็พบกับบุคคลคนหนึ่ง ที่สวมชุดม่อฮ่อม ยืนทักทายกับอาจารย์จิ๋ว อย่างสนิทสนม บุคคลท่านนั้นก็คือ อาจารย์ทรงชัยนั่นเอง สิ่งที่แปลกใจอีกอย่างก็คือ การทักทายระหว่างอาจารย์จิ๋วกับอาจารย์ทรงชัย จะทักทายเป็นภาษาเหนือ ซึ่งก็งงมาก ว่าทำไมถึงคุยกันเป็นภาษาเหนือ ทั้งๆที่ ที่นี่มันจังหวัดสระบุรีไม่ใช่เหรอ หรือว่าอาจารย์เป็นคนเหนือรึเปล่า นั่นก็ยังคงคาใจของกระผมอยู่ ไม่นานนัก อาจารย์จิ๋วก็เกริ่นแนะนำอาจารย์ทรงชัยพร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับเรือนโบราณหลังนี้ และให้อาจารย์ทรงชัยได้กล่าว และเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ จึงทำให้รู้ว่าอาจารย์ทรงชัย เป็นคนน่าน ที่อพยพมาอยู่ที่สระบุรีตั้งสมัยโบราณมาแล้ว จึงทำให้หายสงสัยว่าทำไมอาจารย์จิ๋ว กับ อาจารย์ทรงชัย ทำไมถึงทักทายกันเป็นภาษาเหนือ ^^
จากนั้นอาจารย์จิ๋วก็ให้แยกย้ายไปเก็บภาพรอบๆบ้านหลังนี้ เหล่านักศึกษาก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูปกันคนละทิศละทาง พอเวลาประมาณ เที่ยงกว่าๆ อาจารย์ทรงชัยก็บอกว่าใครที่ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ให้ข้ามฝั่งของถนนไปพักรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นให้เป็นหอวัฒนธรรมพื้นบ้าน







บ้านเรือนไทย









บ้านเรือนแพ



ซึ่งมีลักษณะเป็นทั้งเรือนไทย และ เรือนแพ ซึ่งที่แห่งนี้มีความร่มรื่นมาก บรรยากาศดีมากๆ และใช้เป็น Location ในการถ่ายละครไทยหลายๆเรื่อง นักศึกษาก็ได้แยกย้ายกันไปหาที่พักเพื่อจะได้ลงหลักนั่งพักกินข้าวกันตามอัธยาศัย อาหารมื้อนี้อร่อยมากๆ และยังมีน้ำสมุนไพรให้ตักกินกันอีก ซึ่งนักศึกษาบางคนยังไม่เคยดื่มมาก่อนเลยก็มี พอนักศึกษาและคณาจารย์พักรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย อาจารย์ทรงชัยก็จัดการแสดงโดยเป็นการแสดงของเด็กๆนักเรียนแถวหมู่บ้าน ที่เข้าร่วมโครงการของอาจารย์ทรงชัย การแสดงแรกที่เห็นก็คือ การฟ้อนเล็บ ซึ่งนำเอาเด็กประมาณชั้น ป.1-2 มาฟ้อน ซึ่งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เรียบง่าย โดยการใส่เสื้อยืดกับนุ่งซิ่น หรือ ผ้าถุง เป็นการแสดงที่น่ารัก อ่อนช้อย งดงาม และประทับใจมาก การแสดงชุดที่ 2 คือ การฟ้อนโคม












การแสดงฟ้อนโคม



ซึ่งเป็นการฟ้อนที่เป็นการแสดงของนักเรียนที่โตขึ้นมาอีกหน่อย น่าจะซักประมาณ ป.3-4 ซึ่งจังหวะดนตรีจะคึกคักขึ้นมาอีกหน่อยดูแล้วก็ให้ความรู้สนุกไปอีกแบบ จากนั้นก็ถึงการแสดงชุดที่ 3 เป็นการฟ้อนที่ลอกเลียนเบียบท่าทางของนกยูง














ซึ่งคราวนี้เป็นการโชว์เดี่ยวของนักเรียนคนหนึ่ง การแสดงชุดนี้จะมีสิ่งที่สะดุดตาก็คือ เครื่องแต่งกาย จะมีไม้และผ้าทำเป็นหางของนก ดูแล้วเพลินและสนุกไปอีกแบบ และการแสดงชุดสุดท้ายก็คือการแสดงที่นำเอาช่างฟ้อน ทุกคนมาฟ้อนโชว์ที่เรือนแพ ดูแล้วละลานตามาก น่ารัก น่าเอ็นดูกันทั้งนั้น พอการแสดงเสร็จ ก็มีการให้เหล่านักศึกษามาร่วมรำวงกับเหล่าช่างฟ้อนเด็กๆ ซึ่งเหล่านักศึกษาก็เขินๆ และไม่ค่อยกล้า ส่วนมากจะแห่กันถ่ายรูปช่างฟ้อนกันมากกว่า จากนั้นก็ได้แยกย้ายกันไปซื้อของฝากติดไม้ติดมือ ถือเป็นการช่วยอุดหนุนชาวบ้านแถวนั้นและกลับไปขึ้นรถ เตรียมเดินทางต่อ ไปยังจังหวัดลำปาง
แต่ระหว่างการเดินทางนั้น ได้พักแวะชมโบราณสถาน เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่จังหวัดกำแพงเพชร


















เป็นวัดที่ก่อด้วยศิลาแลงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในระแวกนี้มีวัดอยู่ติดๆกันหลายวัด วัดที่ได้ไปก็คือวัดพระนอน และวัดพระสี่อิริยาบท ซึ่งจะมีวิหารอยู่ด้านหน้าตัวเจดีย์ และ อาจารย์ได้ชี้ให้ดูช่องเปิดที่เป็นสี่เหลี่ยมยาวซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของสุโขทัยที่ยังหลงเหลือไว้อยู่ จากนั้นก็เดินลัดลานหญ้าไปยังวัดพระสี่อิริยาบท













วัดพระสี่อิริยาบท




ซึ่งจะตะลึงกับพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเหลือเพียงซากปรักหักพัง ให้คนรุ่นหลังได้พึงสังวรณ์ใจ แต่ยังมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง คือ








พระพุทธรูปปางยืน





ที่หันหลังชนกำแพงโค้ง ที่เหมือนกับกำแพงได้โอบอุ้มตัวพระพุทธรูปนี้ไว้ ทำให้เหมือนผลักให้ตัวพระพุทธรูปนี้ดูมีมิติ ซึ่งเป็นอิริยาบทที่อ่อนช้อยและสง่างาม เป็นการก่อด้วยศิลาแลงและฉาบด้วยปูนแสดงให้เห็นถึงฝีมือช่างในยุคนั้นว่ามีความปราณีตละเอียดอ่อนอย่างมาก จากนั้นก็ได้เจอกับกลุ่มทัวร์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังจะเวียนเทียนในวัดแห่งนี้ซึ่งในตอนนี้ก็ค่ำแล้ว และแสงก็จะหมดแล้ว จึงสมควรแก่เวลาที่จะต้องขึ้นรถกลับไปยังจุดมุ่งหมายต่อไป ซึ่งก็คือ ตลาดโต้รุ่งที่จังหวัดกำแพงเพชร ก็ให้นักศึกษาแยกย้ายกันไปพักรับประทานอาหารเย็นกันตามอัธยาศัย และถ้าใครที่ทานเสร็จแล้วก็ให้ไปรอเพื่อนๆที่รถ และจะได้ออกเดินทางไปยังที่พักที่จังหวัดลำปาง ซึ่งกว่าจะถึงที่พักก็ประมาณ ตี 2 ซึ่งพอถึงที่พักก็ได้ให้นักศึกษาแยกย้ายกันไปพักผ่อน .......จบการบันทึกในวันแรก......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น